อดีตพระพิมลธรรม “บริสุทธิ์” ศาลทหารพิพากษายกฟ้อง




หลังจากที่อดีตพระพิมลธรรมถูกขังไว้เป็นเวลาถึง ๕ ปี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้นับถือพากันประท้วงร้องเรียนถึงความเป็นธรรมจนนำไปสู่การตัดสินของศาลทหาร พิพากษายกฟ้องรับรองความบริสุทธิ์ของท่าน ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ มีใจความว่า

ตามที่ศาลได้ประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง และกล่าวหามาหลายข้อหลายประเด็นนี้ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆ เลย พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำหรือน่าจะกระทำผิด การจับกุมคุมขังจำเลยนี้ย่อมเป็นที่เศร้าหมองและน่าสลดใจในวงการคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนมาก ท่านประธานศาลฎีกาก็ดี พระเถระผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็ดี ซึ่งเป็นพยาน ต่างก็กล่าวเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยนี้เป็นผู้ประกอบแต่กุศลกรรม กระทำกิจพระศาสนาแผ่ไพศาลไปทั้งในและนอกประเทศ ทั้งในทางปริยัติศาสนา และปฏิบัติศาสนา มีผลประจักษ์ชัดเป็นหลักฐานมาก ไม่เชื่อว่าได้กระทำผิด แต่กลับมาต้องถูกออกจากเจ้าอาวาส ถูกออกจากสมณศักดิ์ ถูกจับกุม ถูกบังคับให้สละเพศพรหมจรรย์ นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่ปวงชนเคารพนับถือ พระธรรมโกศาจารย์ ถึงกับ
ห้องพิจารณาคดีพระพิมลธรรม

กล่าวว่า คิดได้อย่างเดียวว่า เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยากันในวงการสงฆ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นกรรมเก่าของจำเลยเท่านั้นเอง พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด ผู้ฝักใฝ่ในธรรมผู้หนึ่งกล่าวว่า ตามที่จำเลยต้องคดีนี้ ได้สืบสวนด้วยตัวเองทราบเบื้องหลังโดยตลอด แต่จะเบิกความก็เกรงจะกระทบกระเทือนแก่วงการพระภิกษุสงฆ์และพระศาสนา ขอสรุปว่า มูลกรณีทั้งหลายตามที่ทราบความจริงมา จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา ดังนั้น ศาลจึงขอให้จำเลยระลึกว่าเป็นคราวเคราะห์หรือกรรมเก่าของจำเลยเอง หรือมิฉะนั้นก็เป็นการสร้างบาปของคนมีกิเลส ไม่ใช่ความผิดของผู้ใด แต่เป็นความผิดของสังสารวัฏเอง ศาลนี้รู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป”
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)

หลังจากนั้นอดีตพระพิมลธรรมได้นุ่งสบงครองจีวรพาดสังฆาฏิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นที่ปลื้มปีติโสมนัสแก่พุทธบริษัทที่มาประชุมฟังการพิจารณาครั้งนี้อย่างคับคั่ง มีพระภิกษุสามเณรประมาณ ๑,๐๐๐ รูป คฤหัสถ์ประมาณ ๓๐๐ คน ล้นแน่นศาลไปหมด

จากเหตุการณ์ที่ศาลได้รับรองความบริสุทธิ์อดีตพระพิมลธรรมแล้วนั้น ผู้คนต่างศรัทธาต่ออดีตพระพิมลธรรมเป็นอย่างมาก มีการชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ท่าน เช่น การขอให้เพิกถอนพระบัญชาความผิดคืน การขอพระราชทานสมณศักดิ์กลับคืน ขอคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสดังเดิม เป็นต้น
ผลจากความบริสุทธิ์ในครั้งนี้ทำให้พระพิมลธรรมได้รับความเจริญงอกงามในทางพระพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

คัดข้อความจากบทความ : “จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะจำเลยสังคมในกรณีคดีพระพิมลธรรม” โดย พระมหาอิสระ ญาณิสฺสโร (ชัยภักดี) ใน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เปิด “หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม” ของพระพิมลธรรม ก่อนถูกเปลื้องผ้าเหลือง และถูกคุมขังที่ “สันติปาลาราม”